เพอร์ซิอัส (อังกฤษ: Perseus; กรีก: Περσεύς) เป็นบุคคลในตำนานเทพปกรณัมกรีก เป็นบุตรของเทพซูสกับหญิงชาวมนุษย์ชื่อ นางแดนาอี ตามตำนานกรีก
เพอร์ซิอัสเป็นผู้ก่อตั้งแคว้นไมซีนี และเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์เพอร์เซอิด เขาเป็นวีรบุรุษคนแรกในปกรณัมกรีกที่มีชื่อเสียงจากการปราบสัตว์ประหลาดโบราณมากมาย ในยุครุ่งเรืองเทพโอลิมปัสทั้ง 12 องค์ ชาวกรีกเชื่อกันว่าเพอร์ซิอัสเป็นผู้ก่อตั้งเมืองไมซีนีขึ้น ณ จุดที่ได้สังหารอะคริซิอัส พระเจ้าตาของตนโดยอุบัติเหตุ นอกจากนี้เพอร์ซิอัสยังเป็นผู้สังหารเมดูซาและเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าหญิงแอนดรอมิดาจากเคตัส (Cetus) ปีศาจทะเลซึ่งถูกส่งมาโดยเทพโปเซดอน เพื่อทำลายเอธิโอเปีย ชื่อของเพอร์ซิอัสยังขาดข้อสรุปทางนิรุกติศาสตร์ที่ชัดเจน ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นชื่อโบราณก่อนภาษากรีกจะเข้ามา แต่ก็มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะมีรากมาจากคำกริยากรีกว่า “πέρθειν” (perthein) แปลว่า ปล้นสะดม หรือ เข้าตีเมืองแอนดรอมิดา (อังกฤษ: Andromeda) เป็นนางในตำนานเทพปกรณัมกรีกผู้ซึ่งถูกตรึงโซ่ไว้กับหินเพื่อเป็นเครื่องสังเวยแก่สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลและได้รับการช่วยเหลือโดยวีรบุรุษเพอร์ซิอัส (Perseus) ผู้ซึ่งนางได้สมรสด้วยในภายหลัง
ตามตำนานของกรีกนั้นเจ้าหญิงแอนดรอมิดาเป็นธิดาของกษัตริย์ซีฟิอัส (Cepheus) กับราชินีแคสซิโอเปีย (Cassiopeia) แห่งอาณาจักรเอธิโอเปีย (ในตำนาน) เพราะมีพระราชชนนีเป็นคนคุยโวมาก เทพเจ้าแห่งท้องทะเลจึงส่งสัตว์มหายักษ์ ซีตัส (Sea Monster, Cetus) อสุรกายผู้มีร่างน่าเกลียดมาบันดาลคลื่นลม พายุกระหน่ำน้ำท่วมกรุงเอธิโอเปียอย่างหนักหน่วง วิธีเดียวที่จะแก้วิกฤตการณ์นี้ได้ คือ กษัตริย์ซีฟีอัสต้องเสียดวงใจอันเป็นที่รักยิ่งคือราชธิดา ส่งไปสังเวยสัตว์มหายักษ์ซีตัส เพื่อความผาสุกของประชากร กษัตริย์ซีฟีอัสจึงตัดใจเอาราชธิดาไปผูกติดไว้ที่ก้อนหินชายทะเลให้ซีตัสจัดการตามต้องการ
เจ้าหญิงแอนดรอมิดาถูกล่ามโซ่ไว้เพื่อรอเป็นอาหารของปิศาจในทะเล และเธอก็ได้รับความช่วยเหลือจากเพอร์ซิอัส (วีรบุรุษผู้เพิ่งกลับจากการพิชิตกอร์กอน – ปิศาจเมดูซา) ซึ่งต่อมาเจ้าหญิงแอนดรอมิดาได้แต่งงานกับเพอร์ซิอัส มีลูกด้วยกัน 7 คน (ชาย 6 หญิง 1) บุตรชายคนหนึ่งชื่อเพอร์ซีส (Perses) ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวเปอร์เซียเมดูซ่า เป็นธิดาของฟอร์ซีสและซีโต เป็นน้องคนสุดท้องของสามพี่น้อง คือ สเธโน่ ยูริอาลี เมดูซ่า พวกนางเป็นเทพสตรีที่ถือครองพรหมจรรย์ และบูชา เทพีอธีน่า เทพีแห่งภูมิปัญญาและกลยุทธุ์ในการทำศึก ซึ่งนางได้อิจฉาเมดูซ่าในเรื่องความงามโดยเฉพาะเส้นผมของเมดูซ่า ซึ่งความงามของนางก็ได้ถูกตาถูกใจ มหาเทพ โพไซดอน เทพแห่งม้าและท้องทะเล ผู้สร้างพายุและบันดาลแผ่นดินไหว ในวันหนึ่งขณะที่สามพี่น้องกำลังบูชาเทพีอธีน่าอยู่ในวิหารพาเทนอลตามปกติ โพไซดอนได้ลักลอบเข้าไปในวิหารเพื่อจะกระทำชำเราเมดูซ่า เมื่อเทวีอธีน่าซึ่งมีความเคืองส่วนตัวอยู่แล้วจึงได้ปรากฏแล้วกล่าวหานางว่าได้กระทำหารลบหลู่นางโดยการสมสู่กับบุรุษ แถมยังเป็นในวิหารของเทวีอธีน่า ซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับเหล่าบุรุษ แต่เนื่องจากโพไซดอนเป็นเทพ ผู้คงความอมตะ เขาจึงรอดตัว แต่กรรมมาตกอยู่ที่เมดูซ่าและพี่น้อง โดยเทวีอธีน่าได้สาปส่งเมดูซ่าให้เส้นผมกลายเป็นงู และหากนางจ้องตาใครเขาผู้นั้นจะกลายเป็นหิน และได้สร้างวิหารให้เมดูซ่าในทะเลทรายเพื่อให้นางอยู่กับความลำบากยากเข็ญ และก็ได้ห้ามมิให้มีสตรีนางใดเข้าไปในวิหารของนางได้เพื่อป้องกันมิให้ทำร้ายสตรีด้วยกันเอง โดยที่ สเธโน่ และยูริอาลี พี่น้องของเมดูซ่า ซึ่งยืนอยู่ข้างๆนางขณะโดนสาปได้รับผลไปด้วยโดยนางทั้งสามมีความสารถแตกต่างกัน
๑.สเธโน่ นางถูกเรียกว่า สเธโน่ผู้ทรงพลัง เนื่องจากความดุร้าย และพละกำลังของนาง โดยนางนั้นสังหารคนไปมากกว่าน้องสาวทั้งสองคนรวมกันเสียอีก
๒.ยูริอาลี นางถูกเรียกว่า ยูริอาลีผู้โลดโผน เนื่องจากความปราดเปลียวและว่องไวของนาง ซึ่งนางไวกว่าเทพเสียอีก
๓.เมดูซ่า นางถูกเรียกว่า นักสร้างรูปปั้น เนื่องจากนางมีความสามารถในการทำให้คนกลายเป็นหินโดยการจ้องตา
พวกนางเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นปีศาจที่สร้างขึ้นโดยบรรดาเทพโอลิมปัส เมดูซ่าถูกสังการโดยเพอร์ซีอุส บุตรของซุส โดยมีอเธน่า เฮอร์เมส และเทพอื่นๆคอยช่วยเหลือ และเป็นการตอบแทนเขาจึงนำหัวของเมดูซ่าไปมอบให้เทวีอธีน่า ซึ่งนางได้นำหัวของเมดูซ่ามาติดบนเอจีส โล่ห์อันโปรดของอเธน่าอีกด้วย การเริ่มต้นของจักรวรรดิไบแซนไทน์นั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด โดยส่วนใหญ่ถือว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์เริ่มต้นขึ้นเมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ. 306-337) แห่งโรมได้สถาปนานครคอนสแตนติโนเปิลให้เป็น “โรมใหม่” ในปี พ.ศ. 873 (ค.ศ. 330) และย้ายเมืองหลวงจากโรมมาเป็นคอนสแตนติโนเปิลแทน ดังนั้น จึงถือว่าจักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิไบแซนไทน์ไปโดยปริยาย แต่ก็มีบางส่วนถือว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์เริ่มต้นขึ้นในสมัยของธีโอโดเซียสมหาราช (ครองราชย์ ค.ศ. 379-395) ซึ่งคริสต์ศาสนาได้เข้ามาแทนที่ลัทธิเพเกินบูชาเทพเจ้าโรมันในฐานะศาสนาประจำชาติ หรือหลังจากธีโอโดเซียสสวรรคตใน ค.ศ. 395 เมื่อจักรวรรดิโรมันได้แบ่งขั้วการปกครองเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตกอย่างเด็ดขาด ทั้งยังมีบ้างส่วนที่ถือว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์เริ่มต้นขึ้น “อย่างแท้จริง” เมื่อจักรพรรดิโรมูลูส ออกุสตูลูส ซึ่งถือว่าเป็นจักรพรรดิโรมันตะวันตกองค์สุดท้ายถูกปราบดาภิเษก ซึ่งทำให้อำนาจในการปกครองจักรวรรดิตกอยู่ที่ชาวกรีกในฝั่งตะวันออกแต่เพียงฝ่ายเดียว และยังมีอีกบางส่วนที่ถือว่าจักรวรรดิโรมันได้แปลงสภาพเป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์โดยสมบูรณ์ เมื่อจักรพรรดิเฮราคลิอุสเปลี่ยนแปลงชื่อตำแหน่งในราชการ จากเดิมที่เป็นภาษาละติน ให้กลายเป็นภาษากรีกแทน
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงสถานะของจักรวรรดินั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงก่อนที่จักรพรรดิคอนสแตนตินจะสถาปนานครคอนสแตนติโนเปิลให้เป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิโรมันใน ค.ศ. 330 ก็ตาม ในตอนนั้นก็ได้มีการแปลงสภาพวัฒนธรรมจากโรมันเป็นกรีก รวมถึงการเปิดรับคริสต์ศาสนาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปแล้ว
การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยทั่วไปแล้ว เชื่อว่าเกิดขึ้นหลังจากที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกยึดโดยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1453 โดยกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอิสตันบูลมาจนถึงปัจจุบัน และในทางประวัติศาสตร์ยังได้ถือว่าการสิ้นสุดของจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นจุดสิ้นสุดยุคกลางในยุโรปอีกด้วย ได้มีนักมวยปล้ำคนหนึ่งที่ชื่อ Joseph Raymond “Toots” Mondt ได้เริ่มจัดรายการมวยปล้ำรูปแบบใหม่ โดยตัวเขาเรียกรูปแบบนี้ว่า “Slam Bang Western Style Wrestling” เพื่อให้กีฬามวยปล้ำนั้นเป็นที่ดึงดูดต่อผู้ชมมากขึ้น โดยที่ Mondt ได้ร่วมมือกันกับแชมป์มวยปล้ำ Ed Lewis และผู้จัดการของเขา Billy Sandow สร้างสมาคมมวยปล้ำขึ้นมาสมาคมหนึ่งที่ชื่อ “Gold Dust Trio” ซึ่งสมาคมนี้ได้ทำการเชิญชวนนักมวยปล้ำมากมายหลายคนให้เข้ามาร่วมงานใน Gold Dust Trio แห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากประสบความสำเร็จพอสมควร เนื่องจากมีปัญหาความขัดแย้งกันในสมาคม ในที่สุด Gold Dust Trio ก็ต้องล้มเลิกกิจการไป แต่ว่า Mondt หนึ่งในผู้ก่อตั้งของ Gold Dust Trio ก็ยังคงเดินหน้าตั้งสมาคมมวยปล้ำใหม่ต่อไป กับโปรโมเตอร์หลายต่อหลายคน เช่น Jack Curley ใน New York แต่เมื่อ Curley เสียชีวิต Mondt ตัดสินใจที่จะตั้งสมาคมถาวรใน New York ร่วมกับโปรโมเตอร์หลายคน
ในเทพปกรณัมกรีก เทพเจ้าแห่งโอลิมปัส เป็นเทพเจ้าหลักของศาสนากรีกโบราณ โดยมากถือว่าประกอบด้วยซูส ฮีรา โพไซดอน ดิมีเทอร์ อะธีนา อะพอลโล อาร์ทิมิส แอรีส แอโฟรไดที ฮิฟีสตัส เฮอร์มีส และเฮสเตียหรือไดอะไนซัส บางครั้งรวมเฮดีสและเพอร์เซฟะนีเป็นส่วนหนึ่งของสิบสองเทพโอลิมปัสด้วย แต่โดยทั่วไปไม่นับเฮดีส เพราะพระองค์ประทับอย่างถาวรในโลกบาดาลและไม่เคยเสด็จเยือนยอดเขาโอลิมปัส บางครั้งนับรวมเฮราคลีสและอัสคลิปิอุสเช่นกันประมวลเรื่องปรัมปรากรีก (กรีกโบราณ: ΜΥΘΟΛΟΓΊΑ ΕΛΛΗΝΙΚΉ) เป็นประมวลเรื่องปรัมปราของอารยธรรมกรีกโบราณ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับนิทานปรัมปราและตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า, วีรบุรุษ, ธรรมชาติของโลก รวมถึงจุดกำเนิดและความสำคัญของขนบ คติและจารีตพิธีในทางศาสนาของชาวกรีกโบราณ ประมวลเรื่องปรัมปรากรีกเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาในกรีซโบราณ นักวิชาการสมัยใหม่มักอ้างถึงและศึกษาเรื่องปรัมปราเหล่านี้ เพื่อที่จะทราบเกี่ยวกับสถาบันทางศาสนา, สถาบันทางการเมืองในกรีซโบราณ, อารยธรรมของชาวกรีก และเพื่อเพิ่มความเข้าใจในธรรมชาติของการสร้างตำนานประมวลเรื่องปรัมปราขึ้น ประมวลเรื่องปรัมปรากรีกรวบรวมขึ้นจากเรื่องเล่าและศิลปะที่แสดงออกในวัฒนธรรมกรีก เช่น การระบายสีแจกันและของแก้บน ตำนานกรีกอธิบายถึงการถือกำเนิดของโลก และรายละเอียดของเรื่องราวในชีวิต และการผจญภัยของบรรดาเทพเจ้า เทพธิดา วีรบุรุษ วีรสตรี และสิ่งมีชีวิตในตำนานอื่น ๆ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ในตอนแรกเป็นเพียงการสืบทอดผ่านบทกวีตามประเพณีมุขปาฐะเท่านั้น ซึ่งอาจสืบย้อนหลังไปได้ถึงสมัยไมนอส และสมัยไมซีนี ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ก่อนค.ศ. แต่ปัจจุบันเรื่องราวปรัมปราเหล่านี้ เราทราบจากวรรณกรรมกรีกโบราณทั้งสิ้น